About Bualuang Services i-Trading TFEX Online iFIS Knowledge Management Investor Relations Contact Us
 
     
รู้จักกับ SET50 Index Options
ออปชั่นคืออะไร

สัญญาออปชั่น (Options) เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อออปชั่นมีสิทธิซื้อหรือขายสินทรัพย์ในอนาคตตามราคาและจำนวนที่ได้ตกลงกันไว้ตามสัญญา ในทางตรงกันข้าม ผู้ขายออปชั่นก็คือผู้ขายสิทธิซื้อดังกล่าวให้แก่ผู้ซื้อออปชั่น ด้วยเหตุนี้สัญญาออปชั่นจึงเป็นสัญญาที่มีลักษณะดังต่อไปนี้

  • ผู้ซื้อออปชั่นมีสิทธิในการตัดสินใจว่าจะใช้สิทธินั้นหรือไม่ก็ได้
  • เมื่อผู้ซื้อออปชั่นตัดสินใจใช้สิทธิผู้ขายออปชั่นก็ต้องยอมให้ผู้ซื้อออปชั่นใช้สิทธิตามที่ตกลงกันไว้
  • ณ วันที่ตกลงซื้อขายออปชั่น ผู้ซื้อออปชั่นจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้แก่ผู้ขายออปชั่น ซึ่งเราเรียกเงินจำนวนนี้ว่า พรีเมี่ยม (Premium)

โดยทั่วไป เราสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทตามลักษณธของการใช้สิทธิได้ดังนี้

  1. คอลออปชั่น (Call Options)
    คอลออปชั่น หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า คอล (Call) เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ให้สิทธิซื้อสินค้าอ้างอิง (Underlying Asset) แก่ผู้ซื้อคอลออปชั่น (Long Call) ตามจำนวน ราคาใช้สิทธิและเงื่อนไขอื่นที่ระบุในสัญญา ตรงกันข้าม ผู้ขายคอลออปชั่น (Short Call) จะภาระผูกพันต้องขายสินค้าอ้างอิงให้แก่ผู้ซื้อคอลออปชั่นด้วยเช่นกัน
  2. พุทออปชั่น (Put Options)
    พุทออปชั่น หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า พุท (Put) เป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ให้สิทธิขายสินค้าอ้างอิง (Underlying Asset) แก่ผู้ซื้อพุทออปชั่น (Long Put) ตามจำนวน ราคาใช้สิทธิและเงื่อนไขอื่นที่ระบุในสัญญา ตรงกันข้าม ผู้ขายพุทออปชั่น (Short Put) จะภาระผูกพันต้องซื้อสินค้าอ้างอิงจากผู้ซื้อพุทออปชั่นด้วยเช่นกัน

 

คอลออปชั่น
(
Call Options)

พุทออปชั่น
(
Put Options)

ผู้มีฐานะซื้อ

(Long Position)

มีสิทธิซื้อ

มีสิทธิขาย

ผู้มีฐานะขาย

(Short Position)

มีภาระผูกพันต้องขาย

เมื่อออปชั่นถูกใช้สิทธิ

มีภาระผูกพันต้องซื้อ

เมื่อออปชั่นถูกใช้สิทธิ

สำหรับ SET50 Index Options ซึ่งเป็นสัญญาออปชั่นแรกที่ซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ หมายถึงสัญญาที่ผู้ซื้อได้รับสิทธิซื้อหรือขายดัชนี SET50 จากผู้ขายตามราคาใช้สิทธิ (Exercise Price ซึ่งมักใช้ตัวย่อว่า X หรือ K) และเงื่อนไขของสัญญาอื่น ๆ ที่ตลาดอนุพันธ์กำหนด โดย SET50 Index Options ที่ซื้อขายในปัจจุบันมีทั้งคอลออปชั่นและพุทออปชั่น

กำไร/ขาดทุนของออปชั่น

กำไร / ขาดทุนสูงสุด

เนื่องจาก ผู้ซื้อจะใช้สิทธิต่อเมื่อมั่นใจว่ามีกำไรจากการใช้สิทธิ และจะไม่ใช้สิทธิหากขาดทุน ทำให้ขาดทุนสูงสุดของการซื้อออปชั่นเท่ากับ พรีเมี่ยม (Premium) และในทางตรงกันข้าม กำไรสูงสุดของผู้ขายออปชั่นจึงเท่ากับพรีเมี่ยม (Premium) ด้วยเช่นเดียวกัน (ไม่รวมค่านายหน้าซื้อขาย)

นอกจากนั้นเมื่อสินค้าอ้างอิงปรับตัวขึ้นเรื่อย ๆ ผู้ที่มีฐานะซื้อคอลออปชั่น ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิซื้อในราคาใช้สิทธิที่กำหนดไว้ ย่อมได้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่จำกัด ทำให้ผู้ขายคอลออปชั่นจึงมีโอกาสที่มีขาดทุนไม่จำกัดด้วย ในทางกลับกัน เมื่อสินค้าอ้างอิงปรับลดลงเรื่อย ๆ ผู้ที่มีฐานะซื้อพุทออปชั่น ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิขายในราคาใช้สิทธิที่กำหนดไว้ ย่อมได้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งราคาของสินค้าอ้างอิงลดลงจนกลายเป็นศูนย์ ณ จุดนั้นผู้ซื้อพุทออปชั่นจึงมีกำไรสูงสุดที่เท่ากับ ราคาใช้สิทธิ (Strike) ลบด้วย พรีเมี่ยม (Premium) ทำให้ผู้ขายคอลออปชั่นจึงขาดทุนสูงสุดเท่ากับ ราคาใช้สิทธิ(Strike) ลบด้วย พรีเมี่ยม (Premium) เหมือนกัน

เราจึงสามารถสรุปได้ดังนี้

 

กำไรสูงสุด

ขาดทุนสูงสุด

ผู้ซื้อคอลออปชั่น

(Long Call)

ไม่จำกัด

จำกัด = Premium

ผู้ขายคอลออปชั่น

(Short Call)

จำกัด = Premium

ไม่จำกัด

ผู้ซื้อพุทออปชั่น

(Long Put)

จำกัด = Strike - Premium

จำกัด = Premium

ผู้ขายพุทออปชั่น

(Short Put)

จำกัด = Premium

จำกัด = Strike - Premium

จุดคุ้มทุน

 

จุดคุ้มทุน

ผู้ซื้อคอลออปชั่น (Long Call)

Strike + Premium

ผู้ขายคอลออปชั่น (Short Call)

Strike + Premium

ผู้ซื้อพุทออปชั่น (Long Put)

Strike - Premium

ผู้ขายพุทออปชั่น (Short Put)

Strike - Premium

แผนผังกำไร / ขาดทุน

ภาวะทางการเงิน (Moneyness) ของออปชั่น

ในการซื้อขายออปชั่น เรามักจะแบ่งกลุ่มออปชั่นออกเป็น 3 กลุ่มตามภาวะทางการเงินของออปชั่น ดังนี้

  1. ออปชั่นที่มีภาวะ In-the-Money (ITM) หมายถึง ออปชั่นที่มีกำไรแฝงอยู่ในตัว เช่น
    • คอลออปชั่นที่ราคาใช้สิทธิ (Strike) 250 บาทในขณะที่ราคาสินค้าอ้างอิง (Spot) เท่ากับ 300 บาท (กำไรแฝง = 300 – 250 = 50 บาท)
    • พุทออปชั่นที่ราคาใช้สิทธิ (Strike) 300 บาทในขณะที่ราคาสินค้าอ้างอิง (Spot) เท่ากับ 280 บาท (กำไรแฝง = 300 – 280 = 20 บาท)
  2. ออปชั่นที่มีภาวะ Out-of-the-Money (OTM) หมายถึง ออปชั่นที่มีขาดทุนแฝงอยู่ในตัว เช่น
    • คอลออปชั่นที่ราคาใช้สิทธิ (Strike) 270 บาทในขณะที่ราคาสินค้าอ้างอิง (Spot) เท่ากับ 200 บาท (ขาดทุนแฝง = 200 – 270 = -50 บาท)
    • พุทออปชั่นที่ราคาใช้สิทธิ (Strike) 260 บาทในขณะที่ราคาสินค้าอ้างอิง (Spot) เท่ากับ 290 บาท (ขาดทุนแฝง = 260 – 290 = -30 บาท)
  3. ออปชั่นที่มีภาวะ At-the-Money (ATM) หมายถึง ออปชั่นที่ไม่มีกำไรหรือขาดทุนแฝง

 

Strike < Spot

Strike = Spot

Strike > Spot

คอลออปชั่น (Call)

OTM

ATM

OTM

พุทออปชั่น (Put)

ITM

ATM

ITM



ลักษณะและข้อกำหนดของ SET50 Index Options

   สำหรับ SET50 Index Options นั้น บมจ. ตลาดอนุพันธ์ได้กำหนดลักษณะและเงื่อนไขดังนี้


สินค้าอ้างอิง
ดัชนี SET50 ซึ่งเป็นสินค้าอ้างอิงของ SET50 Index Options นี้เป็นดัชนีที่มีการคำนวณแบบถ่วงน้ำหนักด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (Market Capitalization Weight) โดยมีหลักทรัพย์อ้างอิงที่ผ่านการคัดเลือกจากตลาดหลักทรัพย์ 50 อันดับแรก

ตัวคูณดัชนี
สัญญา SET50 Index Options มีตัวคูณดัชนีเท่ากับ 200 บาท ต่อ 1 จุด ซึ่งหมายความว่าถ้าดัชนีอยู่ที่ระดับ 300 จุด มูลค่าสํญญาจะเท่ากับ 300 x 200 = 60,000 บาท

เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ
ตลาดอนุพันธ์กำหนดให้เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุมี 4 เดือนได้แก่ มีนาคม มิถุนายน กันยายน และธันวาคม โดยนับไปไม่เกิน 4 ไตรมาส ทำให้ ตามปกติ สัญญา SET50 Index Options ที่มีการซื้อขายนั้นจะมีเดือนสิ้นสุดอายุทั้งหมด 4 เดือน เช่น ถ้าวันนี้เป็นวันที่ 24 พ.ย. 2551 สัญญา SET50 Index Options ที่มีเดือนสิ้นสุดอายุทั้งหมด 4 เดือน ดังนี้
  • ธันวาคม 2551
  • มีนาคม 2552
  • มิถุนายน 2552
  • กันยายน 2552
อย่างไรก็ตาม ณ วันซื้อขายวันสุดท้ายของสัญญาที่ใกล้สุด ตลาดอนุพันธ์จะนำชุดสัญญาถัดไปเข้ามาซื้อขายทันที เช่น วันซื้อขายวันสุดท้ายของสัญญาที่สิ้นสุดอายุเดือน ธันวาคม 2551 ตลาดอนุพันธ์จะนำชุดสัญญาที่สิ้นสุดอายุเดือน ธันวาคม 2552 เข้ามาซื้อขายทันที

ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำ
ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำของพรีเมี่ยมเท่ากับ 0.1 จุด หมายความว่าราคาของสัญญา SET50 Index Options ที่มีการซื้อขายกันนั้นจะสามารถส่งคำสั่งซื้อขายโดยระบุราคาได้ห่างกันไม่ต่ำกว่า 0.1 จุด
  • ตัวอย่างของราคาที่สามารถระบุได้มีดังนี้  5 จุด 5.1 จุด และ 5.5 จุด เป็นต้น
  • ตัวอย่างของราคาที่ไม่สามารถระบุได้มีดังนี้  5.11 จุด 5.25 จุด และ 5.99 จุด เป็นต้น

ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงสุดแต่ละวัน
ตลาดอนุพันธ์กำหนดให้ราคาสูงสุดในวันทำการซื้อขาย (Ceiling Price) ไม่เกิน +30% และราคาต่ำสุด (Floor Price) ไม่ต่ำกว่า –30% ของระดับที่ดัชนี SET50 ปิด ณ วันซื้อขายก่อนหน้า จากราคาเพื่อการชำระราคา (Daily Settlement Price) ของวันทำการก่อนหน้า และค่าต่ำสุดต้องไม่ต่ำกว่า 0.10 จุด

ตัวอย่างเช่น

ประเภทการใช้สิทธิ
ประเภทการใช้สิทธิที่นิยมในแง่ของเวลานั้น มี 2 ประเภท ได้แก่
  • ออปชั่นแบบ European หมายถึง ออปชั่นที่สามารถใช้สิทธิได้เมื่อสัญญาถึงกำหนดเท่านั้น
  • ออปชั่นแบบ American หมายถึง ออปชั่นที่สามารถใช้สิทธิได้ทุกวันทำการจนสัญญาถึงกำหนด

ปัจจุบัน SET50 Index Option เป็นแบบ European ทั้งหมด

ราคาใช้สิทธิ
ตลาดอนุพันธ์กำหนดให้ช่วงห่างของราคาใช้สิทธิเท่ากับ 10 จุด ซึ่งหมายความว่า ราคาใช้สิทธินั้นจะห่างกัน 10 จุด และหลักหน่วยจะเป็นศูนย์เสมอ เช่น 280 290 300 310 และ 320 เป็นต้น

นอกจากนั้น ในช่วงเริ่มต้นของทุกวันทำการ สำหรับออปชั่น ณ เดือนหมดอายุใด ๆ จะมีออปชั่นอย่างน้อย 11 สัญญา ได้แก่

  • At-the-Money (ATM) หรือ สัญญาที่มีราคาใช้สิทธิใกล้ ATM มากที่สุด จำนวน 1 สัญญา
  • In-the-Money (ITM) และ Out-of-the-Money (OTM) จำนวนไม่น้อยกว่า 5 สัญญา
ถ้าสมมุติว่า ราคาใช้สิทธิใกล้ ATM มากที่สุดเท่ากับ 300 จุด สัญญาที่หมดอายุเดือนธันวาคม 2552 (Z09) จะต้องมีสัญญาดังต่อไปนี้เป็นอย่างน้อย

คอลออปชั่น (Call Options)

พุทออปชั่น (Put Options)

S50Z09C250

S50Z09C260

S50Z09C270

S50Z09C280

S50Z09P250

S50Z09P260

S50Z09P270

S50Z09P280

S50Z09C290

S50Z09C300

S50Z09C310

S50Z09C320

S50Z09P290

S50Z09P300

S50Z09P310

S50Z09P320

S50Z09C330

S50Z09C340

S50Z09C350

 

S50Z09P330

S50Z09P340

S50Z09P350

 

เวลาซื้อขาย
มี 4 ช่วงเวลาดังนี้

ลำดับที่

ชื่อช่วงเวลา

ช่วงเวลา

1

Pre-open

9:15 – 9:45

2

Morning session

9:45 – 12:30

3

Pre-open

14:00 – 14:30

4

Afternoon session

14:30 – 16:55

วันซื้อขายวันสุดท้าย
วันซื้อขายวันสุดท้ายของทุกสัญญานั้นเป็นวันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ โดยตัวอย่างของวันซื้อขายวันสุดท้ายมีดังนี้

เดือนและ ค.ศ. ที่สัญญาหมดอายุ

วันซื้อขายวันสุดท้าย

ธันวาคม 2008

29 ธ.ค. 2551

มีนาคม 2009

30 มี.ค. 2552

มิถุนายน 2009

29 มิ.ย. 2552

กันยายน 2009

29 ก.ย. 2552

ธันวาคม 2009

29 ธ.ค. 2552

นอกจากนั้น ในวันซื้อขายสุดท้ายของแต่ละสัญญา สัญญานั้นจะมีการซื้อขายสิ้นสุดในเวลา 16.30 น.

ราคาที่ใช้ชำระราคาในวันซื้อขายสุดท้าย
ตลาดอนุพันธ์กำหนดให้ใช้ค่าเฉลี่ยถึงทศนิยมที่ 2 ตำแหน่งของดัชนี SET50 ในวันสุดท้ายของการซื้อขายในช่วง 15 นาทีสุดท้าย และค่าดัชนีราคาปิดของวันนั้น หลังจากตัดค่าที่มากที่สุด 3 ค่า และค่าที่น้อยที่สุด 3 ค่าออก

วิธีส่งมอบ / ชำระราคา
ในการซื้อขาย SET50 Index Options เป็นการส่งมอบเฉพาะกำไร/ขาดทุน จึงมีการชำระราคาเป็นเงินสดเท่านั้น (Cash Settlement)


อักษรย่อและสัญลักษณ์

Single Order
การใช้อักษรย่อสำหรับสัญญาฟิวเจอร์สแบบ Single Order ประกอบด้วย 5 ส่วนดังต่อไปนี้

ส่วนที่ 1

ส่วนที่ 2

ส่วนที่ 3

ส่วนที่ 4

ส่วนที่ 5

S50

Z

09

C

300

ส่วนที่ 1 : สินค้าอ้างอิง
เนื่องจากสินค้าอ้างอิงของ Index Options มีเพียงดัชนี SET50 เท่านั้น ในส่วนที่ 1 นี้จึงใช้ S50 แทนดัชนี SET50

ส่วนที่ 2 : เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ
ใช้อักษรย่อหนึ่งตัวแทนชื่อเดือนดังนี้

เดือนที่สัญญาสิ้นสุด

อักษรย่อ

มีนาคม

H

มิถุนายน

M

กันยายน

U

ธันวาคม

Z

ส่วนที่ 3 : ปีที่สัญญาสิ้นสุดอายุ
ใช้ตัวเลข 2 ตัวสุดท้ายตามปี ค.ศ. เช่น ค.ศ. 2008 ใช้ตัวย่อเป็น 08 และ ค.ศ. 2009 ใช้ตัวย่อเป็น 09 เป็นต้น

ส่วนที่ 4 : ประเภทสิทธิของออปชั่น
C ใช้แทนคอลออปชั่น (Call Option) และ P ใช้แทนพุทออปชั่น (Put Option)

ส่วนที่ 5 : ราคาใช้สิทธิของออปชั่น

ตัวอย่างอักษรย่อสำหรับสัญญา SET50 Index Options แบบ Single Order

Combination Order
ปัจจุบัน ตลาดอนุพันธ์ไม่ได้กำหนดให้มีการส่งคำสั่งแบบ Combination Order กับสัญญาออปชั่น


การหยุดการซื้อขาย (Circuit Breaker)

ตลาดอนุพันธ์กำหนดให้มี Circuit Breaker ซึ่งอ้างอิงกับ Circuit Breaker ของตลาดหลักทรัพย์ โดยถ้าตลาดหลักทรัพย์หยุดการซื้อขายอันเนื่องมาจาก

  1. ราคาของดัชนี SET ตกลงถึง 10% จากราคาเพื่อการชำระราคา (Daily Settlement Price) ของวันทำการก่อนหน้า
  2. ราคาของดัชนี SET ตกลงถึง 20% จากราคาเพื่อการชำระราคา (Daily Settlement Price) ของวันทำการก่อนหน้า
  3. ราคาของดัชนี SET ตกลงถึง 30% จากราคาเพื่อการชำระราคา (Daily Settlement Price) ของวันทำการก่อนหน้า
ตลาดอนุพันธ์จะหยุดการซื้อขายด้วยเช่นกัน

การเปิด-ปิดฐานะเพื่อซื้อขายออปชั่น

ในการซื้อขายออปชั่นนั้น เราสามารถสรุปได้ว่า ณ วันแรกที่มีการซื้อขาย นักลงทุนจะต้อง ระบุว่าต้องการซื้อเพื่อเปิดฐานะซื้อ หรือเปิดฐานะขาย ซึ่งทั้ง 2 ประเภทมีความแตกต่างกันดังนี้

 

ผู้ซื้อออปชั่น ผู้ขายออปชั่น

เงินที่ได้รับ / จ่าย

  • จ่าย พรีเมี่ยมทันที
  • จ่าย ค่านายหน้าซื้อขาย
  • จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม
  • ได้รับกำไรเมื่อปิดฐานะ หรือสัญญาหมดอายุ
  • ได้รับ พรีเมี่ยมทันที
  • จ่าย ค่านายหน้าซื้อขาย
  • จ่าย ภาษีมูลค่าเพิ่ม

 

หลักประกัน

  • ไม่ต้องวางถ้าซื้อออปชั่นอย่างเดียว
  • ต้องวางหลักประกัน
  • วางหลักประกันเพิ่มขึ้นเมื่อออปชั่นมีภาวะขาดทุนสูงขึ้น
  • ได้รับหลักประกันส่วนเหลือคืนเมื่อปิดฐานะสัญญา หรือสัญญาหมดอายุ

 

การเปิดฐานะซื้อออปชั่น
หลังจากที่ทำการเปิดฐานะซื้อในออปชั่นแล้ว นักลงทุนสามารถเลือกปิดฐานะก่อนที่สัญญาจะหมดอายุด้วยการขายปิดออปชั่นที่มีรายละเอียดของสัญญาเหมือนกับที่ได้เปิดฐานะไว้ ตัวอย่างเช่น

  • นักลงทุนซื้อเปิดคอลออปชั่นบนดัชนี SET50 ที่ราคาใช้สิทธิ 300 จุด สิ้นสุดอายุธันวาคม ค.ศ. 2010 จำนวน 2 สัญญาที่พรีเมี่ยม 10.0 จุด การส่งคำสั่ง Buy Open S50Z10C300 จำนวน 2 สัญญา ที่ 10.0 จุด หากค่านายหน้าซื้อขายออปชั่นเท่ากับ 90 บาทต่อสัญญา ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนต้อง
    • จ่าย พรีเมี่ยม 2 x 10.0 x 200 = 4,000 บาท
    • จ่าย ค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 x 90 x 1.07 = 192.60 บาท
  • นักลงทุนต้องการปิดฐานะซื้อคอลออปชั่น โดย ณ ขณะนั้น S50Z10C300 มีพรีเมี่ยมเท่ากับ 17.0 จุด นักลงทุนจึงส่งคำสั่ง Sell Close S50Z10C300 จำนวน 2 สัญญา ทำให้นักลงทุนต้อง
    • ได้รับ พรีเมี่ยม 2 x 17.0 x 200 = 6,800 บาท
    • ชำระค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 x 90 x 1.07 = 192.60 บาท
    • กำไร = 6,800 – 4,000 – (2 x 192.60) = 2,414.80 บาท (ไม่คิด Cost of Carring)

การเปิดฐานะขายออปชั่น
หลังจากที่ทำการเปิดฐานะขายในออปชั่นแล้ว นักลงทุนสามารถเลือกปิดฐานะก่อนที่สัญญาจะหมดอายุด้วยการซื้อปิดออปชั่นที่มีรายละเอียดของสัญญาเหมือนกับที่ได้เปิดฐานะไว้ ตัวอย่างเช่น การสร้างฐานะขายออปชั่นทำด้วยการส่งคำสั่งขายเปิด และสามารถเลือกปิดฐานะก่อนที่สัญญาจะหมดอายุด้วยการซื้อปิดออปชั่นที่มีรายละเอียดของสัญญาเหมือนกับที่ได้เปิดฐานะไว้ เช่น

  1. นักลงทุนขายเปิดพุทออปชั่นบนดัชนี SET50 ที่ราคาใช้สิทธิ 250 จุด สิ้นสุดอายุกันยายน ค.ศ. 2011 จำนวน 3 สัญญาที่พรีเมี่ยม 10.1 จุด
    การส่งคำสั่ง Sell Open S50U11P250 จำนวน 3 สัญญา ที่ 10.1 จุด หากค่านายหน้าซื้อขายออปชั่นเท่ากับ 90 บาทต่อสัญญา ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 เปอร์เซ็นต์ นักลงทุนต้อง
    • ได้รับ พรีเมี่ยม 3 x 10.1 x 200 = 6,060 บาท (แต่ต้องวางหลักประกัน)
    • จ่าย ค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 x 90 x 1.07 = 288.90 บาท
  2. นักลงทุนต้องการปิดฐานะขายพุทออปชั่น โดย ณ ขณะนั้น S50U11P250 มีพรีเมี่ยมเท่ากับ 8.3 จุด นักลงทุนจึงส่งคำสั่ง Buy Close S50U11P250 จำนวน 3 สัญญา ทำให้นักลงทุนต้อง
    • จ่าย พรีเมี่ยม 3 x 8.3 x 200 = 4,980 บาท
    • จ่าย ค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่ม 3 x 90 x 1.07 = 288.90 บาท
    • กำไร = 6,060 – 4,980 – (2 x 288.90) = 502.20 บาท (ไม่คิด Cost of Carring)

การถือครองฐานะจนสิ้นสุดอายุสัญญา

สัญญา SET50 Index Options ที่ถูกถือครองจนครบอายุ ระบบจะใช้ Final Settlement Price ของสัญญานั้นตรวจสอบว่าฐานะสัญญาด้านซื้อที่เหลืออยู่ตั้งแต่ระดับราคาใช้สิทธิใดเป็นต้นไปมีกำไร (มากกว่าหรือเท่ากับค่าธรรมเนียมที่กำหนด) และทำการใช้สิทธิให้โดยอัตโนมัติ กำไรที่ได้จะทำให้ Equity Balance ของบัญชีที่มีฐานะด้านซื้อเพิ่มขึ้น (หักค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ) และของบัญชีที่มีฐานะขายลดลง (ไม่มีการหักค่าธรรมเนียม)

ระบบจะกำหนดโดยอัตโนมัติให้ฐานะสัญญาด้านซื้อที่ไม่มีกำไรเป็นไม่ใช้สิทธิและถือเป็นการสิ้นสุด ทำให้ Equity Balance ของบัญชีทั้งที่มีฐานะซื้อและขายไม่เปลี่ยนแปลง

ตัวอย่างเช่น

 

นักลงทุน ก นักลงทุน ข

ฐานะ

ซื้อคอลออปชั่น S50Z09C300 ขายคอลออปชั่น S50Z09C300

จำนวนสัญญา

2 สัญญา 2 สัญญา

Final Settlement Price

323.01 จุด  

ค่าธรรมเนียมการใช้สิทธิ

10 บาท ต่อ สัญญา 0 บาท ต่อ สัญญา

ภาษีมูลค่าเพิ่ม (7%)

10 x 0.07 = 0.7 บาท ต่อ สัญญา 0 บาท ต่อ สัญญา

กำไร / ขาดทุน

2 x [(323.01 – 300) x 200 –(10 + 0.07)] = 9,183.86 บาท 2 x [(300-323.01) x 200 = -9,204 บาท

สรุปคือ นักลงทุน ก. ได้กำไร (เพิ่ม Equity Balance) และ นักลงทุน ข. ขาดทุน (หักจาก Equity Balance)

หมายเหตุ นักลงทุนที่มีฐานะซื้ออาจไม่ต้องการใช้สิทธิกรณีมีกำไรเพียงเล็กน้อย สามารถแจ้งความประสงค์เพื่อยับยั้งไม่ให้ระบบทำการกำหนดการใช้-ไม่ใช้สิทธิโดยอัตโนมัติได้กับเจ้าหน้าที่ผู้ดูแลบัญชี กรณีซื้อขายผ่านอินเตอร์เน็ตนักลงทุนสามารถระบุความประสงค์ผ่านระบบได้เอง

ข้อควรระวัง กรณีระบุความประสงค์ใช้สิทธิสัญญาด้านซื้อที่ขาดทุน นักลงทุนที่มีฐานะซื้อต้องรับภาระขาดทุนและค่าธรรมเนียมที่เกิดขึ้น (Equity Balance ลดลง) และทำให้นักลงทุนที่มีฐานะขายได้กำไร (Equity Balance เพิ่มขึ้น) การระบุความประสงค์เป็นการเฉพาะจึงควรทำเมื่อทราบ Final Settlement Price


จำนวนการถือครองสูงสุด (Speculative Position Limit)

นักลงทุนห้ามมีฐานะสุทธิรวมใน SET50 Index Futures และ SET50 Index Options เมื่อคำนวณฐานะเทียบเท่าฐานะใน SET50 Index Futures ในเดือนใดเดือนหนึ่งหรือทุกเดือนรวมกันเกินกว่า 20,000 สัญญา


ระดับต้องรายงาน (Reportable Limit)

สำนักงาน กลต. และ ตลาดอนุพันธ์ กำหนดให้บริษัทหลักทรัพย์ต้องรายงานรายชื่อของนักลงทุนที่ถือครองฐานะสัญญาเทียบเท่า SET50 Index Futures เท่ากับหรือมากกว่า 500 สัญญา โดยคิดจากสัญญาซื้อขายเดือนใดเดือนหนึ่ง และสุทธิจากสัญญาซื้อและขายทุกเดือนรวมกัน อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังสามารถเพิ่มการถือครองได้จนไม่เกินระดับวงเงินอนุมัติ หรือ จำนวนการถือครองสูงสุด (Speculative Position Limit) ตามประกาศของตลาดอนุพันธ์


ค่านายหน้าซื้อขายและค่าธรรมเนียม

SET50 Index Options

ค่านายหน้าซื้อขาย
บริษัทฯ กำหนดค่านายหน้าสำหรับ SET50 Index Options เป็นแบบขั้นบันได (Sliding Scale) ตามจำนวนสัญญาต่อวัน (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สำหรับการซื้อขายแบบปกติ (Offline) และการซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (Internet) ดังนี้

ตัวอย่างเช่น

  • นักลงทุนซื้อสัญญา S50Z11C700 1 สัญญาต่อวัน ผ่านการซื้อขายแบบปกติ (Offline) นักลงทุนต้องจ่ายค่านายหน้า (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับ 85 บาท
  • นักลงทุนซื้อสัญญา S50Z11C700 1 สัญญาต่อวัน ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (Internet) นักลงทุนต้องจ่ายค่านายหน้า (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับ 77 บาท
  • นักลงทุนซื้อสัญญา S50Z11C700 50 สัญญาต่อวัน ผ่านการซื้อขายแบบปกติ (Offline) นักลงทุนต้องจ่ายค่านายหน้า (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับ 65 x 50 = 3,250 บาท
  • นักลงทุนซื้อสัญญา S50Z11C700 50 สัญญาต่อวัน ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (Internet) นักลงทุนต้องจ่ายค่านายหน้า (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับ 59 x 50 = 2,950 บาท
  • นักลงทุนซื้อสัญญา S50Z11C700 150 สัญญาต่อวัน ผ่านการซื้อขายแบบปกติ (Offline) นักลงทุนต้องจ่ายค่านายหน้า (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับ 45 x 150 = 6,750 บาท
  • นักลงทุนซื้อสัญญา S50Z11C700 150 สัญญาต่อวัน ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต (Internet) นักลงทุนต้องจ่ายค่านายหน้า (ยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) เท่ากับ 41 x 150 = 6,150 บาท

ค่าธรรมเนียมอื่น

ประเภทของการบริการ

อัตราค่านายหน้า

(บาทต่อสัญญา)

ใช้สิทธิ (Exercise)

10

ปฏิเสธการใช้สิทธิ (Deny)

10

ถูกใช้สิทธิ (Assign)

ไม่มี

ค่าธรรมเนียมข้างต้นยังไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และในกรณีที่เป็นการทำ Auto-exercise จะเก็บไม่เกินมูลค่าของการใช้สิทธิ (Exercise Value)

 
     
 
Resource Center

© Copyright 2013. All Rights Reserved. Bualuang Securities Public Company Limited.
BLS Customer Service Tel. 02 618 1111
ติดต่อเรา คลิกที่นี่


ข้อตกลงและเงื่อนไข  |  Terms and Conditions